อะตอมและตารางธาตุ
แบบจำลองอะตอม
ในสมัยโบราณมีนักปราชญ์ชาวกรีกชื่อ ดิโคริตุส ( Democritus ) เชื่อว่าเมื่อย่อยสารลงเรื่ออย ๆ จะได้ส่วนที่เล็กที่สุดซึ่งไม่สามารถทำให้เล็กลงกว่าเดิมได้อีก และเรียกอนุภาคขนาดเล็กที่สุดว่า อะตอม ซึ่งคำว่า "อะตอม"( atom ) เป็นคำซึ่งมาจากภาษากรีกว่า ( atomas ) แปลว่า แบ่งแยกอีกไม่ได้
1.แบบจำลองอะตอมของดอลตัน
สสารทั้งหลายประกอบด้วยอนุภาคที่เล็กที่สุด จะไม่สามารถมองเห็นได้และจะไม่สามารถแบ่งแยกให้เล็กลงกว่านั้นได้อีก แต่ในสมัยนั้นก็ยังไม่มีการทดลอง เพื่อพิสูจน์และสนับสนุนแนวความคิดดังกล่าว
แบบจำลองอะตอม ( Atomic model ) เนื่องจากอะตมมีขนาดเล็กมาก ซึ่งสายตามนุษย์ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาเครื่องมือที่เรียกว่า atomic force microscope (AFM) ซึ่ใช้งานทางด้านวิทยาศาสตร์ระดับนาโนในการสร้างเป็นภาพลักษณ์พื้นผิวที่เป็นเชิงโครงสร้างระดับอะตอม โดยการผ่านแสงเลเซอร์ไปที่ส่วนปลายแหลมขนาดระดับอะตอมที่อยู่ใต้คาน และเมื่อคานลากส่วนปลายแหลมกวาดผ่านไปทั่วผิวที่เป็นโครงสร้างระดับอะตอมของวัตถุ เครื่องจะสามารถตรวจวัดความสูงต่ำของพื้นผิว การปรับตำแหน่งของคานจะทำให้ลำแสงเลเซอร์ที่จะสะท้อนจากคานเปลี่ยนตำแหน่งไปด้วย ซึ่งจะถูกนำมาแปรสัญญาณเพื่อสร้างเป็นภาพพื้นผิวที่มีลักษณะเชิงโครงระดับอะตอมแสดงบนจอภาพได้
2.แบบจำลองของทอมสัน
เดียวกันย่อมมีสมบัติเหมือนกัน มีมวลเท่าๆกัน แต่จะมีสมบัติแตกต่างกันจากอะตอมของธาตุอื่น
เซอร์โจเซฟ จอห์น ทอมสัน นักวิทยาศตร์ชาวอังกฤษ ได้ทำการศึกษาและทดลองเกี่ยวกับการนำไฟฟเาชองก๊าซโดยใช้หลอดรังสีแคโทด
หลอดรังสีแคโทด
เป็นเครื่องที่ใช่ทดลองเกี่ยวกับการนำไฟฟ้าโดยหลอดรังสีแคโทดจะมีความดันต่ำมาก และความต่างศักย์สูงมาก วิลเลียม ครูกส์ ( SirWilliam Crookes ) ได้สร้างหลอดรังสีแคโทดขึ้นมาโดยใช้แผ่นโลหะ 2 แผ่นเป็นขั้วไฟฟ้า โดยต่อขั้วไฟฟ้าลบกับขั้วลบของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเรียกว่า แคโทด และต่อขั้วไฟฟ้าบวกเข้ากับขั้วบวกของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเรียกว่า แอโนด
3.แบบจำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด
การค้นพบอิเล็กตรอน
เซอร์โจเซฟ จอห์น ทอมสัน ดัดแปลงหลอดรังสีใหม่
รังสีพุ่งจากด้าแคโทดไปยังด้านแอโนด และจะมีรังสีส่วนหนึ่งทะุลุออกไปกระทบกับฉากเรืองแสง
หลังจากนั้นทอมสันได้เพิ่มขั้วไฟฟ้าเข้าไปในหลอดรังสีแคโทด
ปรากฎว่า รังสีนี้จะเบี่ยงเบนเข้าหาขั้วบวก แสดงว่า รังสีนี้ต้องเป็นประจุลบ แต่ไม่ทราบว่าเกิดจากก๊าซในหลอดรังสีแคโทด หรือเกิดจากขั้วไฟฟ้าทอมสันจึงทำการทดลองเกี่ยวกับการนำไฟฟ้าของก๊าซในหลอดรังสีแคโทด พบว่า ไม่ว่าจะใช้ก๊าซใดบรรจุในหลอดหรือใช้โลหะใดเป็นแคโทด จะได้ผลการทดลองเหมือนเดิม จึงสรุปได้ว่า อะตอมทุกชนิดมีอนุภาคที่มีประจุลบเป็นองค์ประกอบ เรียกว่า "อิเล็กตรอน"
รังสีพุ่งจากด้าแคโทดไปยังด้านแอโนด และจะมีรังสีส่วนหนึ่งทะุลุออกไปกระทบกับฉากเรืองแสง
หลังจากนั้นทอมสันได้เพิ่มขั้วไฟฟ้าเข้าไปในหลอดรังสีแคโทด
ปรากฎว่า รังสีนี้จะเบี่ยงเบนเข้าหาขั้วบวก แสดงว่า รังสีนี้ต้องเป็นประจุลบ แต่ไม่ทราบว่าเกิดจากก๊าซในหลอดรังสีแคโทด หรือเกิดจากขั้วไฟฟ้าทอมสันจึงทำการทดลองเกี่ยวกับการนำไฟฟ้าของก๊าซในหลอดรังสีแคโทด พบว่า ไม่ว่าจะใช้ก๊าซใดบรรจุในหลอดหรือใช้โลหะใดเป็นแคโทด จะได้ผลการทดลองเหมือนเดิม จึงสรุปได้ว่า อะตอมทุกชนิดมีอนุภาคที่มีประจุลบเป็นองค์ประกอบ เรียกว่า "อิเล็กตรอน"
การค้นพบโปรตอน
เนื่องจากอะตอมเป็นกลางทางไฟฟ้า และการที่พบว่าอะตอมของธาตุทุกชนิดประกอบด้วยอิเล็กตรอนซึ่งมีประจุไฟฟ้าเป็นลบ ทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าองค์ประกอบอีกส่วนหนึ่งของอะตอม จะต้องมีประจุบวกด้วย ออยแกน โกลด์สไตน์ ( Eugen Goldstein) นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน ได้ทดลองเกี่ยวกับหลอดรังสีแคโทด โดยดัดแปลงหลอดรังสีแคโทด
ผลการทดลองของออยแกน โกสไตน์
เมื่อผ่านกระแสไฟฟ้า ปรากฏว่ามีจุดสว่างเกิดขึ้นทั้งฉากเรืองแสง ก. และฉากเรืองแสง ข.
โกลสไตน์ได้อธิบายว่า จุดเรืองแสงที่เกิดขึ้นบนฉากเรืองแสง ก. จะต้องเกิดจากที่ประกอบด้วยอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าบวก เคลื่อนที่ผ่านรูตรงกลางของแคโทด ไปยังฉากเรืองแสง แต่ยังไม่ทราบว่ารังสีที่มีประจุไฟฟ้าบวกนี้เกิดจากอะตอมของก๊าซ หรือเกิดจากอะตอมของขั้วไฟฟ้า และมีลักษณะเหมือนกันหรือไม่
โกลสไตน์ได้ทดลองเปลี่ยนชนิดของก๊าซในหลอดแก้วปรากฏว่าอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าบวกเหล่านี้มีอัตราส่วนประจุต่อมวลไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับชนิดของก๊าซที่ใช้และเมื่อทดลองเปลี่ยนโลหะที่ใช้ทำเป็นขั้วไฟฟ้าหลายๆชนิดแต่ให้ก๊าซในหลอดแก้วชนิดเดียวกัน ปรากฏว่า ผลการทดลองได้อัตราส่วนประจุต่อมวลเท่ากันแสดงว่าอนุภาคบวกในหลอดรังสีแคโทดเกิดจากก๊าซ
ไม่ได้เกิดจากขั้วไฟฟ้า
สรุปแบบจำลองของทอมสัน
จากผลการทดลอง ทั้งของทอมสันและโกลด์สไตน์ ทำให้ทอมสันได้ข้อมูลเกี่ยวกับอะตอมมากขึ้น จึงได้เสนอแบบจำลองอะตอม ดังนี้
"อะตอมมีลักษณะเป็นทรงกลมประกอบด้วยอนุภาคโปรตอนที่มีประจุไฟฟ้าเป็นบวกและอนุภาคอิเล็กตรอนที่มีประจุไฟฟ้าเป็นลบ กระจัดกระจายอย่างสม่ำเสมอในอะตอมอะตอมที่มีสภาพเป็นกลางทางไฟฟ้าจะมีจำนวนประจุบวกเท่ากับจำนวนประจุลบ"
ข้อแตกต่าง
รังสีแคแนล
รังสีแคโทด
1. การเกิด
เกิดจากอะตอมของแก๊ส
เกิดจากอะตอมของโลหะที่ใช้ทำขั้วแคโทดและแก๊ส
2. ชนิดประจุ
ประจุบวก
ประจุลบ
3. การเบี่ยงเบนในสนามแม่เหล็ก
เกิดตรงข้ามกับรังสีแคโทด
เกิดการเบี่ยงเบนออกจากแนวเส้นตรง
4. ทิศทางของรังสี
พุ่งจากขั้วบวก (แอโนด)
ไปยังขั้วลบ (แคโทด)
พุ่งจากขั้วลบ (แคโนด)
ไปยังขั้วบวก (แอโนด)
5. ประจุ / มวลเมื่อเปลี่ยนแก็ส
ไม่คงที่
ตงที่เสมอ
6. ชื่อเรียก
รังสีบวก
รังสีลบ
ข้อแตกต่าง
|
รังสีแคแนล
|
รังสีแคโทด
|
1. การเกิด
|
เกิดจากอะตอมของแก๊ส
|
เกิดจากอะตอมของโลหะที่ใช้ทำขั้วแคโทดและแก๊ส
|
2. ชนิดประจุ
|
ประจุบวก
|
ประจุลบ
|
3. การเบี่ยงเบนในสนามแม่เหล็ก
|
เกิดตรงข้ามกับรังสีแคโทด
|
เกิดการเบี่ยงเบนออกจากแนวเส้นตรง
|
4. ทิศทางของรังสี
|
พุ่งจากขั้วบวก (แอโนด)
ไปยังขั้วลบ (แคโทด)
|
พุ่งจากขั้วลบ (แคโนด)
ไปยังขั้วบวก (แอโนด)
|
5. ประจุ / มวลเมื่อเปลี่ยนแก็ส
|
ไม่คงที่
|
ตงที่เสมอ
|
6. ชื่อเรียก
|
รังสีบวก
|
รังสีลบ
|
3.แบบจำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด
ลอร์ดเออร์เนสท์รัทเทอร์ฟอร์ด ( Lord Ernest Rutherford ) นักวิทยาศาสตร์ชาวนิวซีแลนด์ และฮันส์ ไกเกอร์ และมาร์สเคน ได้ทดลองใช้อนุภาคแอลฟายิงไปยังแผ่นโลหะทองคำบางๆ และใช้ฉากเรืองแสงซึ่งฉาบด้วยซิงค์ซัลไฟด์ ( ZnS ) โค้งเป็นวงกลมเป็นฉากรับแอลฟาเพื่อตรวจสอบทิศทางการเคลื่อนที่ของอนุภาคแอลฟา
ผลการทดลอง สรุปได้ดังนี้
• จุด X เป็นจุดที่อนุภาคแอลฟาผ่านไปยังฉากในแนวเส้นตรง แสดงว่า ภายในอะตอมน่าจะมีพื้นที่ว่างเป็นจำนวนมาก เพราะ อนุภาคแอลฟาส่วนใหญ่ทะลุผ่านแผนทองคำเป็นแนวเส้นตรง
ผลการทดลอง สรุปได้ดังนี้
• จุด X เป็นจุดที่อนุภาคแอลฟาผ่านไปยังฉากในแนวเส้นตรง แสดงว่า ภายในอะตอมน่าจะมีพื้นที่ว่างเป็นจำนวนมาก เพราะ อนุภาคแอลฟาส่วนใหญ่ทะลุผ่านแผนทองคำเป็นแนวเส้นตรง
การค้นพบนิวตรอน
สาเหตุที่ค้นพบนิวตรอน
1. เนื่อจากมวลของอะตอมต่าง มักเป็น 2 เท่า หรือมากกว่า 2 เท่าของมวลโปรตรอนรวม
รัทเทอร์ฟอร์ดสันนิษฐานว่า น่าจะมีอนุภาคอีกชนิดหนึ่งอยู่ในนิวเคลียส และอนุภาคนี้
ต้องมีมวลใกล้เคียงกันกับมวลของโปรตรอนมาก และต้องเป็นกลางทางไฟฟ้า
2. ทอมสันศึกษาหามวลของอนุภาคบวกของ Ne ปรากฎว่า อนุภาคบวกนี้มีมวล 2 เท่า
ผลการทดลองนี้สนับสนุนว่าจะต้องมีอนุภาคอีกชนิดหนึ่งอยู่ในนิวเคลียส
เชดวิก ได้ยิงอนุภาคแอลฟาไปยัง Be ปรากฎว่าได้อนุภาคชนิดนึ่งออกมา
ซึ่งมีมวลใกล้เคียงกับมวลของโปรตรอนและไม่มีประจุไฟฟ้า เรียกอนุภาคนี้ว่า "นิวตรอน"
กล่าวว่า จากการค้นพบนิวตรอนนี้ ทำให้ทราบว่าในอะตอมประกอบไปด้วยอนุภาค 3 ชนิด คือ โปรตอน อิเล็กตรอนและนิวตรอน โดยเรียนอนุภาคทั้ง 3 ชนิดนี้ว่า "อนุภาคมูลฐานของอะตอม"
สรุปแบบจำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด
อะตอมประกอบด้วยนิวเคลียสที่มีโปรตอนรวมกันอยู่ตรงกลาง นิวเคลียสมีขนาดเล็ก แต่มีมวลมากและมีประจุเป็นบวก ส่วนอิเล็กตรอนซึ่งมีประจุเป็นลบ และมีมวลน้อยมาก จะวิ่งอยู่รอบนิวเคลียสเป็นบริเวณกว้าง
อนุภาคมูลฐานของอะตอม
อนุภาค
ประจุ(หน่วย)
ประจุ(C)
มวล(g)
มวล(amu)
อิเล็กตรอน
-1
1.6 x 10-19
0.000549
9.1096 x 10-28
โปรตรอน
+1
1.6 x 10-19
1.007277
1.6726 x 10-24
นิวตรอน
0
0
1.008665
1.6749 x 10
เลขมวล ( Mass number ) หมายถึง ผลบวกของโปรตอน และนิวตรอนในนิวเคลียส
เลขอะตอม ( Atpmic number ) หมายถึง จำนวนโปรตอนในนิวเคลียส ซึ่ง = จำนวนอิเล็กตรอนในอะตอม
ไอออน (Ion)
คือ อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า ซึ่งเกิดจากอะตอมเสียหรือได้รับอิเล็กตรอน ประจุไฟฟ้ามี 2 ชนิด ดังนี้
1. ไอออนบวก ( ation ) คือ อนุภาคที่มีโปรตอน มากกว่า อิเล็กตรอน
2. ไอออนลบ ( anion ) คือ อนุภาคที่มีโปรตอน น้อยกว่า อิเล็กตรอน
1. ไอโซโทป ( Isotope )
หมายถึง อะตอมของธาตุชนิดเดียวกัน มีเลขอะตอมเท่ากัน แต่มีเลขมวลต่างกัน
2. ไอโซโทน ( Isotone )
หมายถึง อะตอมของธาตุต่างชนิดกันแต่มีจำนวนนิวตรอนเท่ากัน
3. ไอโซบาร์ ( Isobar )
หมายถึง อะตอมของธาตุต่างชนิดกันที่มีเลขมวลเท่ากัน แต่มีเลขอะตอมไม่เท่ากัน
4. ไอโซอิเล็กทรอนิกส์ ( Isoelectronic )
หมายถึง อะตอมของธาตุหรือไอออนที่มรจำนวนอิเล็กตรอนเท่ากัน
4.แบบจำลองอะตอมของโบว์
โบร์ได้ศึกษาแบบจำลองอะตอมขึ้นมาโดยนำแบบจำลองอะตอมของรัทฟอร์ดมาแก้ไข เขาศึกษาสเปกตรัมการเปล่งแสงของธาตุ โดยบรรจุแก๊สไฮโดรเจนในหลอดปล่อยประจุ จากนั้นให้พลังงานเข้าไป
ผลการทดลอง
อิเล็กตรอนเคลื่อนจากขั้วบวกไปขั้วลบชนกับแก๊สไฮโดรเจน จากนั้นเปล่งแสงออกมาผ่านปริซึมทำให้เราเห็นเป็นเส้นสเปกตรัมสีต่าง ๆ ตกบนฉากรับภาพ
สรุปผลการทดลอง
การเปล่งแสงของธาตุไฮโดรเจน เกิดจากอิเล็กตรอนเปลี่ยนระดับพลังงานจากวงโคจรสูงไปสู่วงโคจรต่ำ พร้อมทั้งคายพลังงานในรูปแสงสีต่าง ๆ
แต่ก่อนที่จะศึกษาสเปกตรัมควรต้องมีความใจเกี่ยวกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
สมบัติของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ความยาวคลื่น ( Wave length ) ใช้สัญลักษณ์ (λ) แลมบ์ดา คือ ระยะที่คลื่นเคลื่อนที่ครบ 1 รอบ ( มีหน่วยเป็น เมตรหรือนาโนเมตร )
ความถี่คลื่น ใช้สัญลักษณ์ (V) นิว คือ จำนวนรอบของคลื่นที่่ผ่านจุดใดจุหนึ่งในเวลา 1 วินาที ( มีหน่วยเป็นจำนวนรอบต่อวินาที หรือ เฮิรตซ์ (Hz) s-1 )
เมื่อ E คือ พลังงานของคลื่นมีหน่วยเป็น ( J ) จูล
H คือ ค่าคงตัวของพลังค์ มีค่า = 6.625 x 10 -34 J.s
V คือ ความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มีหน่วยเป็น รอบต่อวินาที หรือเฮิร์ตซ์ ( Hz )
ในการศึกษาเกี่ยวกับคลื่นทั่วไป พบว่า ความยาวคลื่นจะมีความสัมพันธ์กับความถี่ของคลื่น ดังนี้
เมื่อ c คือ ความเร็วของคลื่นแม่เหล็ไฟฟ้าในสุญญากาศ มีค่า = ความเร็วของคลื่นแสง มีค่า = 3 x 10 8 m/s หรือ เขียนหน่วยเป็น ms-1
สรุปได้ว่า
"คลื่นที่มีความยาวคลื่นมาก จะมีความถี่น้อย และพลังงานคลื่นน้อย"
"คลื่นที่มีความยาวคลื่นน้อย จะมีความถี่มาก และพลังงานคลื่นมาก"
สเปกตรัม ( Spectrum )
หมายถึง แถบสี แถบแสงส หรือเส้นสีของพลังงานในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
สเปกตรัม มี 2 ชนิด คือ
1. สเปกตรัมต่อเนื่อง ( Continuousspectrum ) เป็นสเปกตรัมที่ประกอบด้วยแถบของสีที่ต่อเนื่องกันไปจากสีหนึ่งไปยังอีกสีหนึ่ง โดยจะมองไม่เห็นช่องว่างระหว่างสีเลย
2. สเปกตรัมไม่ต่อเนื่อง ( Discontinuous spectrum ) เป็นสเปกตรัมที่มีลักษณะเป็นเส้นสีสว่างบนพื้นสีดำมืดบางที่เรียกว่าเส้นสเปกตรัม โดยมองเห็นเป็นเส้นสีเรียงจากเส้นหนึ่งไปยังอีกเส้นหนึ่ง
อนุภาค
|
ประจุ(หน่วย)
|
ประจุ(C)
|
มวล(g)
|
มวล(amu)
|
อิเล็กตรอน
|
-1
|
1.6 x 10-19
|
0.000549
|
9.1096 x 10-28
|
โปรตรอน
|
+1
|
1.6 x 10-19
|
1.007277
|
1.6726 x 10-24
|
นิวตรอน
|
0
|
0
|
1.008665
|
1.6749 x 10
|
เลขมวล ( Mass number ) หมายถึง ผลบวกของโปรตอน และนิวตรอนในนิวเคลียส
เลขอะตอม ( Atpmic number ) หมายถึง จำนวนโปรตอนในนิวเคลียส ซึ่ง = จำนวนอิเล็กตรอนในอะตอม
ไอออน (Ion)
คือ อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า ซึ่งเกิดจากอะตอมเสียหรือได้รับอิเล็กตรอน ประจุไฟฟ้ามี 2 ชนิด ดังนี้
1. ไอออนบวก ( ation ) คือ อนุภาคที่มีโปรตอน มากกว่า อิเล็กตรอน
2. ไอออนลบ ( anion ) คือ อนุภาคที่มีโปรตอน น้อยกว่า อิเล็กตรอน
1. ไอโซโทป ( Isotope )
หมายถึง อะตอมของธาตุชนิดเดียวกัน มีเลขอะตอมเท่ากัน แต่มีเลขมวลต่างกัน
2. ไอโซโทน ( Isotone )
หมายถึง อะตอมของธาตุต่างชนิดกันแต่มีจำนวนนิวตรอนเท่ากัน
3. ไอโซบาร์ ( Isobar )
หมายถึง อะตอมของธาตุต่างชนิดกันที่มีเลขมวลเท่ากัน แต่มีเลขอะตอมไม่เท่ากัน
4. ไอโซอิเล็กทรอนิกส์ ( Isoelectronic )
หมายถึง อะตอมของธาตุหรือไอออนที่มรจำนวนอิเล็กตรอนเท่ากัน
โบร์ได้ศึกษาแบบจำลองอะตอมขึ้นมาโดยนำแบบจำลองอะตอมของรัทฟอร์ดมาแก้ไข เขาศึกษาสเปกตรัมการเปล่งแสงของธาตุ โดยบรรจุแก๊สไฮโดรเจนในหลอดปล่อยประจุ จากนั้นให้พลังงานเข้าไป
ผลการทดลอง
อิเล็กตรอนเคลื่อนจากขั้วบวกไปขั้วลบชนกับแก๊สไฮโดรเจน จากนั้นเปล่งแสงออกมาผ่านปริซึมทำให้เราเห็นเป็นเส้นสเปกตรัมสีต่าง ๆ ตกบนฉากรับภาพ
สรุปผลการทดลอง
การเปล่งแสงของธาตุไฮโดรเจน เกิดจากอิเล็กตรอนเปลี่ยนระดับพลังงานจากวงโคจรสูงไปสู่วงโคจรต่ำ พร้อมทั้งคายพลังงานในรูปแสงสีต่าง ๆ
แต่ก่อนที่จะศึกษาสเปกตรัมควรต้องมีความใจเกี่ยวกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
สมบัติของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ความยาวคลื่น ( Wave length ) ใช้สัญลักษณ์ (λ) แลมบ์ดา คือ ระยะที่คลื่นเคลื่อนที่ครบ 1 รอบ ( มีหน่วยเป็น เมตรหรือนาโนเมตร )
ความถี่คลื่น ใช้สัญลักษณ์ (V) นิว คือ จำนวนรอบของคลื่นที่่ผ่านจุดใดจุหนึ่งในเวลา 1 วินาที ( มีหน่วยเป็นจำนวนรอบต่อวินาที หรือ เฮิรตซ์ (Hz) s-1 )
เมื่อ E คือ พลังงานของคลื่นมีหน่วยเป็น ( J ) จูล
H คือ ค่าคงตัวของพลังค์ มีค่า = 6.625 x 10 -34 J.s
V คือ ความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มีหน่วยเป็น รอบต่อวินาที หรือเฮิร์ตซ์ ( Hz )
ในการศึกษาเกี่ยวกับคลื่นทั่วไป พบว่า ความยาวคลื่นจะมีความสัมพันธ์กับความถี่ของคลื่น ดังนี้
เมื่อ c คือ ความเร็วของคลื่นแม่เหล็ไฟฟ้าในสุญญากาศ มีค่า = ความเร็วของคลื่นแสง มีค่า = 3 x 10 8 m/s หรือ เขียนหน่วยเป็น ms-1
สรุปได้ว่า
"คลื่นที่มีความยาวคลื่นมาก จะมีความถี่น้อย และพลังงานคลื่นน้อย"
"คลื่นที่มีความยาวคลื่นน้อย จะมีความถี่มาก และพลังงานคลื่นมาก"
สเปกตรัม ( Spectrum )
หมายถึง แถบสี แถบแสงส หรือเส้นสีของพลังงานในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
สเปกตรัม มี 2 ชนิด คือ
1. สเปกตรัมต่อเนื่อง ( Continuousspectrum ) เป็นสเปกตรัมที่ประกอบด้วยแถบของสีที่ต่อเนื่องกันไปจากสีหนึ่งไปยังอีกสีหนึ่ง โดยจะมองไม่เห็นช่องว่างระหว่างสีเลย
2. สเปกตรัมไม่ต่อเนื่อง ( Discontinuous spectrum ) เป็นสเปกตรัมที่มีลักษณะเป็นเส้นสีสว่างบนพื้นสีดำมืดบางที่เรียกว่าเส้นสเปกตรัม โดยมองเห็นเป็นเส้นสีเรียงจากเส้นหนึ่งไปยังอีกเส้นหนึ่ง
สรุปสเปกตรัม
1. สเปคตรัมเป็นสมบัติเฉพาะตัวของธาตุชนิดหนึ่งๆ ซึ่งแตกต่างจากธาตุชนิดอื่น2. สเปคตรัมของโลหะชนิดเดียวกัน มีสี และตำแหน่งของสเปคตรัมเหมือนกัน
3. สเปคตรัมของโลหะต่างชนิดกัน จะไม่เหมือนกัน
4.สีของเปลวไฟที่ได้จากการเผาสารคือส่วนของพลังงานที่แปรรูปมาจากพลังงานความร้อนที่สารได้รับความร้อนแล้วคายออกมาในรูปของแสง
“ แสงสีต่างกันแสดงว่าคายพลังงานออกมาไม่เท่ากัน(มีความถี่และความยาวคลื่นต่างกัน)”
สรุปแบบจำลองอะตอมของโบร์
1. อิเลคตรอนจะอยู่กันเป็นชั้น ๆ แต่ละชั้นเรียกว่า “ระดับพลังงาน”
2. อิเลคตรอนที่อยู่ในระดับพลังงานวงนอกสุดเรียกว่า เวเลนซ์อิเลคตรอน (Valent electron)จะเป็นอิเลคตรอน
ที่เกิดปฏิกิริยาต่าง ๆ ได้
3. อิเลคตรอนที่อยู่ในระดับพลังงานวงในอยู่ใกล้นิวเคลียส จะเสถียรมากเพราะประจุบวกจากนิวเคลียสดึงดูด
ไว้อย่างดี ส่วนอิเลคตรอนระดับพลังงานวงนอจะไม่เสถียรเพราะนิวเคลียสส่งแรงไปดึงดูดได้น้อยมาก
4. ระดับการพลังงานวงในจะอยู่ห่างกันมาก ส่วนระดับพลังงานวงนอกจะอยู่ชิดกันมาก
5. การเปลี่ยนระดับพลังงานของอิเลคตรอน ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนในระดับถัดกัน อาจเปลี่ยนข้ามระดับ
พลังงานกันก็ได้
5.แบบจำลองอะตอมแบบกลุ่มหมอก
เนื่องจากแบบจำลองอะตอมของโบร์ใช้อธิบายได้ดีเฉพาะธาตุไฮโรเจนซึ่งมีอิเล็กตรอนเพียงตัวเดียว ดังนั้นถ้าธาตุมีหลายอิเล็กตรอน ทฤษฏีของโบร์ไม่สามารถอธิบายได้ นักวิทยาศาสตร์จึงค้นคว้า ทดลองจนเกิดเป็นแบบจำลองอะตอมแบบกลุ่มหมอก ซึ่งมีลักษณะดังนี้
- อิเล็กตรอนเคลื่อนที่รอบนิวเคลียสด้วยความเร็วสูง วงโคจรไม่จำเป็นต้องเป็นวงกลมเสมอ
- ไม่สามารถบอกตำแหน่งที่แน่นอนของอิเล็กตรอนได้
- บริเวณกลุ่มหมอกหนาทึบ แสดงว่ามีโอกาสพบอิเล็กตรอนบริเวณนั้นมาก และบริเวณที่กลุ่มหมอกจาง แสดงว่ามีโอกาพบอิเล็กตรอนน้อย
"อะตอมประกอบด้วยกลุ่มหมอกอิเล็กตรอนรอบนิวเคลียส มีลักษณะทรงกลม บรอเวณกลุ่มหมอกทึบแสดงว่ามีโอกาศพบอิเล็กตรอนมาก และบริเวณที่กลุ่มหมอกจางมีโอกาศที่จะพบอิเล็กตรอนน้อย"
เนื่องจากแบบจำลองอะตอมของโบร์ใช้อธิบายได้ดีเฉพาะธาตุไฮโรเจนซึ่งมีอิเล็กตรอนเพียงตัวเดียว ดังนั้นถ้าธาตุมีหลายอิเล็กตรอน ทฤษฏีของโบร์ไม่สามารถอธิบายได้ นักวิทยาศาสตร์จึงค้นคว้า ทดลองจนเกิดเป็นแบบจำลองอะตอมแบบกลุ่มหมอก ซึ่งมีลักษณะดังนี้
- อิเล็กตรอนเคลื่อนที่รอบนิวเคลียสด้วยความเร็วสูง วงโคจรไม่จำเป็นต้องเป็นวงกลมเสมอ
- ไม่สามารถบอกตำแหน่งที่แน่นอนของอิเล็กตรอนได้
- บริเวณกลุ่มหมอกหนาทึบ แสดงว่ามีโอกาสพบอิเล็กตรอนบริเวณนั้นมาก และบริเวณที่กลุ่มหมอกจาง แสดงว่ามีโอกาพบอิเล็กตรอนน้อย
"อะตอมประกอบด้วยกลุ่มหมอกอิเล็กตรอนรอบนิวเคลียส มีลักษณะทรงกลม บรอเวณกลุ่มหมอกทึบแสดงว่ามีโอกาศพบอิเล็กตรอนมาก และบริเวณที่กลุ่มหมอกจางมีโอกาศที่จะพบอิเล็กตรอนน้อย"